cartel4d
winwin4d
slot maxwin
Slot Gacor Maxwin
Slot Thailand
Login Slot Gacor
CARTEL4D
maxwin slot
link auto maxwin
nolimit city
slot gacor
slot gacor maxwin
angkatoto

หนองใน (Gonorrhea) สาเหตุที่เป็นหนองในและการรักษา

หนองใน หรือ โรคโกโนเรีย (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (กามโรค) ที่พบได้มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาการมักเป็นรุนแรงและชัดเจนจนผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาอาการจะดีขึ้นได้เองเพียงเล็กน้อย แต่ตัวโรคยังคงเป็นอยู่ และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้

สาเหตุที่เป็น หนองใน (Gonorrhea

หนองในเกิดจากการติดเชื้อหนองในซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “ไนซีเรีย โกโนเรียอี” (Neisseria gonorrhoeae) หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า “โกโนค็อกคัส” (Gonococcus ) ซึ่งสามารถตรวจพบได้ในน้ำอสุจิและสารน้ำในช่องคลอด จึงถ่ายทอดผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้สามารถเจริญได้ดีในที่ชื้นและที่อบอุ่นของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ตั้งแต่ปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก ท่อปัสสาวะ (ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง) นอกจากนี้ยังสามารถเจริญในบริเวณอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ทวารหนัก เยื่อบุตา ช่องปากคอ เป็นต้น

  • กิจกรรมที่ทำให้เกิดการติดเชื้อหนองใน : มักติดมาจากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยจากการสัมผัสเยื่อบุช่องคลอด ช่องปาก ทวารหนัก องคชาต โดยอาจมีหรือไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิก็ได้ นอกจากนี้ยังอาจติดได้จากมารดาสู่ทารกในระหว่างการคลอดจากการสัมผัสเชื้อโดยตรงได้อีกด้วย (เฉพาะในสตรี เชื้อสามารถแพร่จากช่องคลอดไปสู่ทวารหนักได้เองโดยไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก)
  • กิจกรรมที่ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อหนองใน : ได้แก่ การจับมือ, การกอด, การจูบ, การใช้แก้วน้ำ จาน ชามร่วมกัน, การใช้ห้องน้ำหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน, การนั่งฝาโถส้วม, การใช้สระว่ายน้ำร่วมกัน (เชื้อหนองในไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสระว่ายน้ำหรือในโถส้วม ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสที่คนปกติทั่วไปจะติดเชื้อหนองในจากสระน้ำหรือโถส้วม) เป็นต้น ส่วนการมีเพศสัมพันธ์โดยการใช้มือหรือนิ้วช่วย ยังไม่พบหลักฐานชัดเจนว่าสามารถทำให้เกิดการถ่ายทอดเชื้อได้
  • กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดโรคหนองใน : ได้แก่ กลุ่มวัยรุ่น, ผู้ติดยาเสพติด, ผู้ที่มีคู่นอนมากกว่า 1 คน, ผู้ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยในขณะมีเพศสัมพันธ์, ผู้ที่เคยเป็นโรคนี้มาแล้ว หรือเคยเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น โรคซิฟิลิส (Syphilis)
  • ระยะฟักตัวของโรค : หลังจากได้รับเชื้อมักจะแสดงอาการภายใน 2-10 วัน แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะแสดงอาการภายใน 5 วัน

การรักษาหนองใน

  • หากสงสัยว่าเป็นหนองใน ควรตรวจยืนยันด้วยการนำหนองไปย้อมสีและส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือนำไปเพาะเชื้อ ถ้าพบว่าเป็นโรคหนองในจริง แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะขนานใดขนานหนึ่ง
  • เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคหนองในแท้มักจะเป็นหนองในเทียมจากการติดเชื้อ (Chlamydia) ร่วมด้วยประมาณ 30% แพทย์จึงมักรักษาไปพร้อมกันทั้งสองโรคด้วยการให้ยาดอกซีไซคลีน (Doxycycline) ไปกินครั้งละ 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
  • ผู้ที่เป็นหนองในควรได้รับการเจาะเลือดตรวจวีดีอาร์แอล (VDRL – Venereal Disease Research Laboratory) เพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่มีการติดเชื้อซิฟิลิสร่วมด้วย ถ้าผลตรวจวีดีอาร์แอลเป็นผลบวกหรือที่เรียกว่า “เลือดบวก” ก็แสดงว่าเป็นซิฟิลิส โดยควรตรวจตั้งแต่ครั้งแรกก่อนให้การรักษาและตรวจซ้ำอีกครั้งในอีก 3 เดือนถัดไป นอกจากนี้ควรตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) และโรคไวรัสตับอักเสบบีพร้อมกันไปด้วย
  • ในผู้หญิงที่มีอาการหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะร่วมกับมีไข้สูง ปวดท้องน้อย ขัดเบา ตกขาว อาจเป็นปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน ควรรีบไปพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง
  • ในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนแล้ว เช่น อุ้งเชิงกรานอักเสบ ปวดท้องน้อยเรื้อรัง เกิดภาวะมีบุตรยาก ผู้ป่วยอาจต้องนอนรับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัดแก้ไข
  • ในกรณีที่หญิงตั้งครรภ์เป็นหนองใน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาโรคนี้ให้หายขาด มิฉะนั้น ลูกอาจติดเชื้อในระหว่างคลอด ทำให้ตาอักเสบรุนแรงจนถึงขั้นตาบอดได้ หรืออาจเกิดการติดเชื้อรุนแรงกับอวัยวะอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของลูกได้ (ด้วยเหตุนี้แพทย์จึงมีการหยอดตาทารกแรกเกิดด้วย 1% Silver Nitrate ทุกรายเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อชนิดนี้) นอกจากนี้โรคหนองในที่มีอาการรุนแรง ยังอาจกระตุ้นให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้อีกด้วย

วิธีป้องกัน โรคหนองใน

  1. เลือกมีคู่นอนเพียงคนเดียว และจะแน่นอนยิ่งขึ้นหากคู่นอนได้รับการตรวจแล้วว่าไม่มีการติดเชื้อใด ๆ
  2. หลีกเลี่ยงการเที่ยวกลางคืนหรือการสำส่อนทางเพศ และถ้าจะหลับนอนกับคนอื่นหรือคนที่สงสัยว่าจะเป็นหนองใน ควรใช้ถุงยางอนามัยเสมอ ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคนี้ได้เกือบ 100% (ส่วนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ อาจจะได้ผลไม่เต็มที่ และยังมีโอกาสติดเชื้อได้บ้าง)
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดหน้าและผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้ติดเชื้อ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรดื่มน้ำก่อนร่วมเพศและถ่ายปัสสาวะทันทีหลังร่วมเพศ หรือฟอกล้างสบู่ทันทีหลังร่วมเพศ อาจช่วยลดการติดเชื้อลงได้บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ผลทุกราย
  4. กินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคภายหลังการร่วมเพศอาจได้ผลบ้าง แต่ต้องเป็นยาชนิดและขนาดเดียวกันกับที่ใช้ในการรักษา (ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยคุ้มเท่าใดนัก สู้รอให้มีอาการแสดงออกมาแล้วค่อยรักษาไม่ได้ อีกทั้งยังไม่อาจป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ ได้)
  5. การกินยาล้างลำกล้อง ซึ่งเป็นยาระงับเชื้อ (Antiseptic) ไม่ใช่ยาทำลายเชื้อ จึงไม่ได้ผลในการป้องกัน (ยานี้กินแล้วจะทำให้ปัสสาวะเป็นสีแปลก ๆ เช่น สีแดง สีเขียว)